-เขาไปค้นดูนิตยสาร “ ถนนหนังสือ “ เล่มเก่าๆ ที่มีบทสัมภาษณ์นักเขียนรุ่นใหญ่หลายๆคน ซึ่งมีผลงานเป็นที่ย้อมรับในวงกว้างแล้ว
ก็ไปสะดุดกับบทสัมภาษณ์ ชาติ กอบจิตติ นักเขียนคนหนึ่งที่อยู่ในหัวใจและเป็นจ้นแบบของตัวเองมช้านาน
-“ ตอนนั้นพี่ชาติบอกว่า ถ้าผมเป็นนักแต่งนิยายคนใหม่ จะตั้งเกรดไว้ที่ เรื่องคำพิพากษาเลย ซึ่งเป็นเกรดสูงมาก คือได้รับรางวัลซีไรท์
เขียนให้ถึงตรงนั้น หรือชนะได้ยิ่งดี”
-เขาตั้งข้อคิดนี้เป็นหลักแต่นำมาปรับใช้ในงานเขียนเพลง โดดตั้งข้อระบบความคิดคงไปได้ไม่ถึงไหน เพราะอาจไม่มีใครแนะนำใครได้
มากกว่ากัน
-แต่หากศึกษาเทคนิค และวิธีของครูเพลงรุ่นก่อนๆ อย่างจริงจังน่าจะเป็นประโยชน์ในอนาคตมากกว่า
-ครูหนุ่มจากบ้านหมอม้า นั่งนอนทบทวนโดยละเอียดแล้วก็พุ่งเป้าหมายไปที่ครูเพลงลูกทุ่งยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองไทย ไพบูลย์ บุตรขัน
ด้วยถือว่าเป็นมวยใหญ่สุดแล้ว
-ผลงานของบรมครูผู้นี้อบอวลในความรู้สึกขอสลามาตั้งแต่เยาว์วัยก็ว่าได้ บทเพลงเหล่านั้นบันทึกแน่นในคลังสมองโดยไม่หายไปไหน
เพียงแต่ที่ผ่านๆมาเขาฟังเพื่อความไพเราะเพียงอย่างเดียว ไม่ได้นำมาวิเคราะห์ดูอย่างจริงจัง
-สลาไปหาหนังสือเพลงของครูไพบูลย์มาอ่านในลักษณะ “ผ่า” โดยละเอียดศึกษาประเด็นว่าผลงานเหล่านั้นประสบความสำเร็จเพราะอะไร
ใช้ภาษาแบบไหนหรือแม้กระทั้งเสน่ห์ของเพลงอยู่ตรงไหน
-ในขณะที่ศึกษาเปรียบเทียบ สลาก็ฝึกการเขียนเพลงไปด้วย ด้านเทคนิคเพลงเขาพอเข้าใจแล้วว่าควรทำย่างไร แต่ด้านทักษะฝีมือยอมรับตรงๆว่ายังทำไม่ได้อย่างที่ตั้งใจไว้
-เขาสรุปตัวเองในช่วงนั้นว่า เพราะทักษะด้านภาษารวมถึงโลกทัศน์ของเขายังไม่สุกงอม แต่อย่างน้อยก็ทำให้รู้จักแนวทางของครูไพบูลย์
โดยละเอียด และก็อาศัยยุคนี้ฝึกฝนฝีมือมาเรื่อยๆ
-“มันเป็นประเด็นให้เก็บไปคิดว่า ถ้าผมแต่งเพลง ตอนแรกแต่งตามใจของผม อยากแต่งก็แต่งไป พอผมได้อ่าน ก็ไปศึกษางาน
ของครูไพบูลย์ บุตรขัน ของครูอะไรเป็นเกณฑ์ที่สูงเลย พอแต่งเพลงเสร็จก็ไปประกบกันดูตามความรู้สึกของตัวเอง มันใกล้เคียงกับ
ครูบาอาจารย์หรือยัง หรือพอไปวัดไปวาได้หรือยังทำให้มีความมุมานะในการสร้างสรรค์งานแต่อย่าตั้งความหวังสูง”
-“อย่างที่ผมทำมาตั้งแต่ปี 2524 จนกว่าจะประสบความสำเร็จ นานนับสิบปีทีเดียว.. ถามว่าผมเหนื่อยไหม ผมไม่เหนื่อย เพราะผมไม่เคย
หวังเลยผมเขียนแล้วผมได้ร้อง พอเพื่อนได้มาฟังผมก็ดีใจ พอได้บันทึกเสียงผมก็ดีใจ..ตั้งเกณฑ์สูง แต่อย่าตั้งความหวังสูง พูดตรงนี้เผื่อว่า
หลายๆคนอยากเป็นนักเขียน พอจับปากกาเขียนก็คิดถึงเงิน ถ้าได้ลงตอนนี้ 3,000 บาท บวกลบคูณหารในสมองก็เลยกดดัน ใครหนอเป็น
บ.ก.เขียนดีแล้วยังไม่ผ่านแล้วทำให้นิสัยเสีย ไปด่า ไปต่อว่าคนอื่นแล้วทำให้เราท้อ คือทำไปเรื่อยๆมีความสุขกับการได้สร้างสรรค์”
-ทั้งหมดนี้มาจากข้อคิดของชาติ กอบจิตติ โดยแท้
อ่านต่อตอนต่อไปครับ
อ่านบทความเกี่ยวกับ ครูสลา คุณวุฒิ ที่นี้ อ้างอิง หนังสือ เพลงชีวิตศิลปินบ้านป่า สลา คุณวุฒิ ของสำนักพิมพ์มิ่งมิตร เขียนโดย ชูเกียรติ ฉาไธสง , คมทัพแสง บรรณาธิการ แคน สาลิกา
เรื่องราวครูสลา ตอนที่ 8.2 ตั้งเกณฑ์สูง อย่าตั้งความหวังสูง
-เขาไปค้นดูนิตยสาร “ ถนนหนังสือ “ เล่มเก่าๆ ที่มีบทสัมภาษณ์นักเขียนรุ่นใหญ่หลายๆคน ซึ่งมีผลงานเป็นที่ย้อมรับในวงกว้างแล้ว
ก็ไปสะดุดกับบทสัมภาษณ์ ชาติ กอบจิตติ นักเขียนคนหนึ่งที่อยู่ในหัวใจและเป็นจ้นแบบของตัวเองมช้านาน
-“ ตอนนั้นพี่ชาติบอกว่า ถ้าผมเป็นนักแต่งนิยายคนใหม่ จะตั้งเกรดไว้ที่ เรื่องคำพิพากษาเลย ซึ่งเป็นเกรดสูงมาก คือได้รับรางวัลซีไรท์
เขียนให้ถึงตรงนั้น หรือชนะได้ยิ่งดี”
-เขาตั้งข้อคิดนี้เป็นหลักแต่นำมาปรับใช้ในงานเขียนเพลง โดดตั้งข้อระบบความคิดคงไปได้ไม่ถึงไหน เพราะอาจไม่มีใครแนะนำใครได้
มากกว่ากัน
-แต่หากศึกษาเทคนิค และวิธีของครูเพลงรุ่นก่อนๆ อย่างจริงจังน่าจะเป็นประโยชน์ในอนาคตมากกว่า
-ครูหนุ่มจากบ้านหมอม้า นั่งนอนทบทวนโดยละเอียดแล้วก็พุ่งเป้าหมายไปที่ครูเพลงลูกทุ่งยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองไทย ไพบูลย์ บุตรขัน
ด้วยถือว่าเป็นมวยใหญ่สุดแล้ว
-ผลงานของบรมครูผู้นี้อบอวลในความรู้สึกขอสลามาตั้งแต่เยาว์วัยก็ว่าได้ บทเพลงเหล่านั้นบันทึกแน่นในคลังสมองโดยไม่หายไปไหน
เพียงแต่ที่ผ่านๆมาเขาฟังเพื่อความไพเราะเพียงอย่างเดียว ไม่ได้นำมาวิเคราะห์ดูอย่างจริงจัง
-สลาไปหาหนังสือเพลงของครูไพบูลย์มาอ่านในลักษณะ “ผ่า” โดยละเอียดศึกษาประเด็นว่าผลงานเหล่านั้นประสบความสำเร็จเพราะอะไร
ใช้ภาษาแบบไหนหรือแม้กระทั้งเสน่ห์ของเพลงอยู่ตรงไหน
-ในขณะที่ศึกษาเปรียบเทียบ สลาก็ฝึกการเขียนเพลงไปด้วย ด้านเทคนิคเพลงเขาพอเข้าใจแล้วว่าควรทำย่างไร แต่ด้านทักษะฝีมือยอมรับตรงๆว่ายังทำไม่ได้อย่างที่ตั้งใจไว้
-เขาสรุปตัวเองในช่วงนั้นว่า เพราะทักษะด้านภาษารวมถึงโลกทัศน์ของเขายังไม่สุกงอม แต่อย่างน้อยก็ทำให้รู้จักแนวทางของครูไพบูลย์
โดยละเอียด และก็อาศัยยุคนี้ฝึกฝนฝีมือมาเรื่อยๆ
-“มันเป็นประเด็นให้เก็บไปคิดว่า ถ้าผมแต่งเพลง ตอนแรกแต่งตามใจของผม อยากแต่งก็แต่งไป พอผมได้อ่าน ก็ไปศึกษางาน
ของครูไพบูลย์ บุตรขัน ของครูอะไรเป็นเกณฑ์ที่สูงเลย พอแต่งเพลงเสร็จก็ไปประกบกันดูตามความรู้สึกของตัวเอง มันใกล้เคียงกับ
ครูบาอาจารย์หรือยัง หรือพอไปวัดไปวาได้หรือยังทำให้มีความมุมานะในการสร้างสรรค์งานแต่อย่าตั้งความหวังสูง”
-“อย่างที่ผมทำมาตั้งแต่ปี 2524 จนกว่าจะประสบความสำเร็จ นานนับสิบปีทีเดียว.. ถามว่าผมเหนื่อยไหม ผมไม่เหนื่อย เพราะผมไม่เคย
หวังเลยผมเขียนแล้วผมได้ร้อง พอเพื่อนได้มาฟังผมก็ดีใจ พอได้บันทึกเสียงผมก็ดีใจ..ตั้งเกณฑ์สูง แต่อย่าตั้งความหวังสูง พูดตรงนี้เผื่อว่า
หลายๆคนอยากเป็นนักเขียน พอจับปากกาเขียนก็คิดถึงเงิน ถ้าได้ลงตอนนี้ 3,000 บาท บวกลบคูณหารในสมองก็เลยกดดัน ใครหนอเป็น
บ.ก.เขียนดีแล้วยังไม่ผ่านแล้วทำให้นิสัยเสีย ไปด่า ไปต่อว่าคนอื่นแล้วทำให้เราท้อ คือทำไปเรื่อยๆมีความสุขกับการได้สร้างสรรค์”
-ทั้งหมดนี้มาจากข้อคิดของชาติ กอบจิตติ โดยแท้
อ่านต่อตอนต่อไปครับ
เรื่องราวครูสลา ตอนที่ 8.1 ตั้งเกณฑ์สูง อย่าตั้งความหวังสูง

- จากที่ได้พบเจอบรรยากาศวิพากษ์วิจารณ์อันหนักหน่วงของกลุ่มลำน้ำมูล ทำให้สลาเกิดอาการฝ่อจนแทบหยุดงานเขียน ไปพักหนึ่งความรู้สึกนี้ติดมาขนาดที่ตั้งใจว่าต่อแต่นี้จะขอคบหาเพียงเพื่อนกลุ่มครูด้วยกันดีกว่า ดีกว่า เพราะภาพของนักเขียน เลือดลมร้อนแรงดูน่ากลัว ไม่น้อยสำหรับคนประนีประนอมและคนเรียบร้อยอย่างเขา - สลาลองหาซื้อหนังสือแปลจากต่างประเทศที่เพื่อนๆ ในกลุ่มลำน้ำมูลชอบยกมาอ้างเวลาปริยายกัน อาทิ เฮอร์มาน์ เฮสเส, เออร์เน็ต เฮมมิงเวย์,จอห์น สไตน์เบค หรือกระทั่งใครต่อใครอีกหลายคน แต่ผลงานของนักเขียนเลื่องชื่อเหล่านี้ก็มิได้เป็นที่ ชื่นชอบของเขาเลยสักเท่าไดเลย แม้จะยอมรับว่าเป็นผลงานอันยอดเยี่ยมเท่านั้น - กว่าเขาจะอ่านจบแต่ละเล่มต้องใช้เวลาราวกับการทำงานหนักต่างจากผลงานประเภทไผ่แดง ของ คึกฤทธิ์ ปราโมทย์, คำพิพากษาของ กอบจิตติ หรือ มือที่เปื้อนชอล์ก ของนิมิต ภูมิถาวร ที่จับจิตจับใจมากกว่าอ่านได้ซ้ำแล้วซ้ำอีกโดยไม่มีเบื่อ - ครูหนุ่มหมกมุ่นเพียงคิดว่าตัวเองห่างจากเพื่อนกลุ่มนั้นพอสมควร เห็นทีจะต้องก้มหน้าก้มตาขีดเขียนไปตามทางที่ตังเอง ชอบอย่างโดดเดี่ยวเป็นแน่ -แต่ชีวิตเป็นเรื่องแปลก ในบ้างครั้งคลื่นลมชะตากรรมได้พัดพาให้ตัวตนของเราหันไปสู่ด้านมืดที่อับเฉาโรยรา และในบางขณะ เช่นกันสายลมชนิดนี้กลับช่วยพัดให้หัวใจอ่อนล้าได้พานพบแสงสว่างที่นำพาพลังบางอย่างมาสู่ชีวิต -คลื่นลมด้านนี้ช่วยก่อให้เกิดมิติแห่งความสงบ เป็นความสงบที่สื่อผ่านให้หัวใจคนหนุ่มบางคนได้เริ่มคิดทบทวนและค้นหาทางเดิน ของตังเองอย่างใคร่ครวญมากขึ้น เพื่อจะไปพบถนนชีวิตที่ทอดยาวในวันข้างหน้า -เส้นทางเหล่านี้เต็มไปด้วยซอกมุมและทางโค้งที่ทั้งอันตรายและงดงามบรรจุไปด้วยทั้งรอยยิ้มและหยาดน้ำตา ซึ่งต้องอาศัยพลังใจ และความมุ่งมั่นเท่านั้นจึงจะประสบความปลอดภัยในการเดินทาง - สลาเริ่มคิดค้นหาทางของตัวเองอีกครั้งโดยทบทวนจากผลงานที่ผ่านมาว่ามีจุกบกพร่องหรือจุดเด่นอย่างไรบ้างเพื่อนำมาแก้ไขปรับปรุง และสรุปได้ว่าการแต่งเพลงเป็นศิลปะที่แสดงศักยภาพของเขาได้ดีที่สุด ส่วนวรรณกรรมน่าจะเป็นเรื่องรองๆลงไป
อ่านต่อตอนต่อไป
IT วิธีดึงเสียงจากคลิปของ youtube.com

เรื่องราวครูสลา ตอนที่ 7.3 จดหมาย(ไม่)ผิดซอง
อ้างอิง: หนังสือเพลงชีวิต “ศิลปินครูบ้านป่า สลา คุณวุฒิ” สำนักพิมพ์มิ่งมิตร เขียนโดย ชูเกียรติ ฉาไธสง , คมทัพแสง บรรณาธิการ แคน สาลิกา เรื่องราวครูสลา ตอนที่ 7.3 จดหมาย(ไม่)ผิดซอง โดย: แคน สาลิกา : มีนาคม 2545
เรื่องราวครูสลา ตอนที่ 7.2 จดหมาย(ไม่)ผิดซอง
ต่อจากตอน 7.1
9 ขั้นตอนการเขียนเพลงของ ครูสลา คุณวุฒิ
แนวทางการสร้างเพลง ครูสลา (ตอนที่ 5 )ใช้ภาษาอย่างไรให้โดนใจ
แนวทางการสร้างเพลง ครูสลา (ตอนที่ 4 ) การตั้งชื่อเพลง
แนวทางการสร้างเพลง ครูสลา (ตอนที่ 4 )
เรื่องราวครูสลา ตอนที่ 7.1 จดหมาย(ไม่)ผิดซอง
- ฝอยสีขาวแผ่คลุมตั้งแต่ริ้วเมฆจรดตีนฟ้า คือสายฝนสุดปลายฤดูที่เชื่อมต่อฤดูหนาว เรื่องราวครูสลา ตอนที่ 6.2 “เทียนก้อม” เทียนแห่งการเริ่มต้น
ต่อจากตอนที่ 6.1 